พื้นไม้ลามิเนต คือ พื้นไม้ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ โดยมีไม้เป็นส่วนประกอบแค่บางส่วน ในปัจจุบันพื้นประเภทนี้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความทนทาน สวยงามเหมือนไม้จริง และติดตั้งง่าย อีกทั้งมีระบบล๊อกที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นไม้ การเปลี่ยนจากการเชื่อมต่อด้วยกาวมาเป็นการเชื่อมโดยใช้กลไกเล็กๆน้อยๆก็ทำให้การติดตั้งเป็นไปได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว
สำหรับความหนาที่นิยมนำไปใช้งาน จะมีความหนาตั้งแต่ 6 -12 มิลลิเมตร โดยขนาดความกว้าง x ยาว ที่นิยมนำไปใช้งาน ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 195 x 1200 มิลลิเมตร และในส่วนอายุการใช้งานนั้น เกรดธรรมดาจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 10-15 ปี และเกรดพรีเมี่ยม มีอายุการใช้งานเฉลี่ยมากกว่า 15 ปี ขึ้นไป
Raw Material : วัตถุดิบ และส่วนประกอบหลัก
พื้นไม้ลามิเนต ผลิตมาจากผงไม้ หรือ ฝุ่นไม้ ที่ได้มาจากไม้เนื้อแข็ง โดยผ่านกระบวนการบีบอัด หรือบดอย่างละเอียดโดยผสมสารเคมีชนิดต่างๆ เช่น เมลามีน และสารป้องกันความชื้น เพื่อทำปฏิกิริยาให้ตัววัสดุมีประสิทธิภาพ และมีความคงทนเพิ่มมากขึ้น จนได้ออกมาเป็นแผ่นไม้ ที่มีการแบ่งเลเยอร์ส่วนประกอบได้ 4 ชั้น ดังนี้
ชั้นที่ 1. Overlay หรือ Wear Layer
เป็นชั้นที่มีความทนทานสูง ทนต่อรอยขีดข่วนบนพื้นไม้ เพื่อให้ทนทานต่อการเกิดรอย นอกจากนี้ยังเคลือบด้วยเรซินที่ทนทานอีกด้วยค่ะ
ชั้นที่ 2. Decorative Paper หรือ Decorative Film
เป็นลวดลายบนพื้นไม้ลามิเนตมีคุณสมบัติทนความร้อน และสามารถต้านทานรังสีอัลตร้าไวโอเลตได้ และสุดท้ายคือจะมีผลเรื่อง Fading คือสีไม่ซีดจางตามกาลเวลา ลวดลายนั้นมาจากการใช้ภาพถ่ายลายไม้เสมือนจริง หรือออกแบบโดยคอมพิวเตอร์ และนำไปเคลือบทับด้วย เมลามีน ,ลามิเนต และเคลือบด้วยเรซิน เพื่อให้ลวดลาย หรือ ผิวสัมผัสเหล่านี้ทนทานต่อรอยขีดข่วน
ชั้นที่ 3. Core Board
จะเป็นชั้นที่หนาที่สุดในพื้นไม้แบบลามิเนต และทำจากไม้ที่ย่อยเป็นผงแล้วมาอัดเข้าแผ่นด้วยความดันสูง หรือที่เรียกกันว่า HDF Board มีการผสมกาว และสารเคมีอื่นๆ เข้าไปเพื่อให้มีความแข็งแรง อย่างไรก็ตามสารเคมี ที่ระเหยออกมาก็ไม่มากเกินไปจนเกิดอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภค
ชั้นที่ 4. Backing or Stabilizing Film
จะเป็นชั้นที่ป้องกันความชื้น โดยการเคลือบด้วยเมลามีน หรือ สารผสมอื่นๆ เพื่อให้เกิดความแข็งแรง และป้องกันความชื้นได้ดียิ่งขึ้น รักษาความสมดุลของแผ่นไม้ไม่ให้โก่งคดงอ พร้อมทั้งช่อยป้องกันความชื้นจากชั้นคอนกรีตด้วย
Benefit : ข้อดี
- มีผิวสัมผัสที่สวยงามให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับไม้จริง
- สามารถเลือกสี หรือลายไม้ตามแบบที่เราต้องการได้
- มีความทนทานต่อการรับน้ำหนัก และแรงกระแทกขีดข่วน
- มีน้ำหนักเบา
- ติดตั้ง หรือ เปลี่ยนแผ่นแบบเฉพาะจุดโดยไม่ต้องรื้อใหม่ทั้งหมดเวลาเเผ่นใดแผ่นนึงเกิดความเสียหาย ซึ่งทำได้ง่ายรวดเร็วด้วยระบบกลไกการล๊อกที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นไม้ หรือที่เรียกว่า Click Lock
- สามารถปูทับ พื้นกระเบื้อง เซรามิค ได้เลย
Disadvantage : ข้อเสีย
- ไม่ทนน้ำ และความชื้นสูง ถ้าหากโดนน้ำขังนานเกิน 12 ชั่วโมงขึ้นไป จะทำให้เกิดการพองบวม และบิดตัว
- มีโอกาสโดนปลวกกินถ้าเลือกใช้เกรดไม่ดี
- มักจะเกิดความเสียหายเวลาที่รับน้ำหนักวัตถุที่มีลักษณะเป็นเดือยแหลมคม เช่น ส้นของรองเท้าส้นแหลม เป็นต้น
- ไม่สามารถทำความสะอาดด้วยการใช้แว๊กซ์ น้ำยาขัดเงา หรือ น้ำยาที่มีส่วนผสมของสบู่ เพราะจะทำให้พื้นลามิเนตเกิดความเสียหายได้
Application : การนำไปใช้งาน
เหมาะกับการนำไปใช้ปูพื้นภายในอาคารเท่านั้น (ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานภายในอาคารสาธารณะที่มีคนพลุกพล่าน หรือ พื้นที่ ที่มีการขนลำเลียงสิ่งของ และลากจูงสิ่งของที่มีน้ำหนักมากบนพื้นบ่อยๆ เช่น ล๊อบบี้โรงแรม ,โถงสนามบิน ,ทางเดินในห้างสรรพสินค้า หรือ ทางเดินในโรงพยาบาล เป็นต้น)